ความรู้เกี่ยวกับสายลำโพง และสายนำสัญญาณ
สายลำโพง และสายสัญญาณนั้นมีความสำคัญต่อคุณภาพเสียงอย่างชัดเจน แต่มักจะถูกมองข้ามเสมอๆ เมื่อคุณใช้เครื่องเสียงฟังเพลง ทางเลือกที่ถูกต้องสำหรับสายลำโพง และสายสัญญาณนั้น จะทำให้ชุดเครื่องเสียงที่คุณใช้อยู่เปล่งประสิทธิภาพได้มากขึ้น แต่ในทางกลับกัน สายแย่ๆ หรือสายที่นำมาใช้แล้วไม่เข้ากันกับระบบ ก็จะไม่ให้ความเป็นดนตรีกับคุณได้เต็มที่ อย่างที่มันควรจะเป็น และการรู้ว่าจะซื้อสายอย่างไรให้ดีที่สุดสำหรับเครื่องเสียง และประหยัดที่สุดจึงเป็นเรื่องจำเป็นเสียแล้ว
ในบทความนี้เรากำลังจะพาคุณไปมองถึงสายลำโพง และสายสัญญาณ เราจะกล่าวถึงสายแบบ Balanced และ Unbalanced, Bi-Wiring การจับคู่สายกับเครื่องเสียงของคุณ และวิธีการหาสายที่ดีที่สุดให้คุ้มค่ากับเงินที่คุณจ่ายไป ยิ่งกว่านั้น เราจะพาคุณไปดูกันซิว่า สายแพงๆ เหล่านั้นแน่จริงหรือเปล่าด้วย
แต่สำหรับตอนนี้ เรามาเริ่มกันก่อนด้วยการทราบถึงความหมายในทางเครื่องเสียงเกี่ยวกับสายลำโพง และสายนำสัญญาณดังต่อไปนี้
CABLE
ใช้อธิบายการเชื่อมต่อสายใดๆ ในระบบเครื่องเสียง CABLE ยังใช้อ้างอิงถึงการนำสัญญาณระหว่าง เพาเวอร์แอมปลิไฟเออร์ และลำโพงอีกด้วย ซึ่งสายลำโพงนั้นจะต้องลำเลียงสัญญาณแบบ HIGH - CURRENT จากเพาเวอร์แอมปลิไฟเออร์ไปยังลำโพง
INTERCONNECT
เป็นตัวนำสัญญาณเช่นเดียวกัน แต่เป็นการนำสัญญาณที่ระดับ LINE-LEVEL ซึ่งเป็นการส่งผ่านสัญญาณภายในระบบเครื่องเสียง INTERCONNECTS เป็นการเชื่อมต่อระหว่างแหล่งโปรแกรมที่ใช้อยู่ในระบบ (เช่น เครื่องเล่นแผ่นเสียง เครื่องเล่นซีดี จูนเนอร์ เทปเด็ค) และปรีแอมปลิไฟเออร์ และระหว่างปรีแอมปลิไฟเออร์เอง กับเพาเวอร์แอมปลิไฟเออร์ ซึ่งการเชื่อมต่อระหว่างกันเช่นนี้ จะต้องใช้สายสัญญาณที่เรียกว่า INTERCONNECTED CABLE
UNBALANCED INTERCONNECT
สายแบบนี้มีตัวนำสัญญาณภายในสาย 2 ตัวนำสัญญาณ และโดยปกติจะต้อง TERMINATED ด้วยขั้วต่อสัญญาณแบบ RCA และมักจะรู้จักกันโดยทั่วไปในชื่อ SINGLE-ENDED INTERCONNECT
BALANCED INTERCONNECT
สายแบบนี้มีตัวนำสัญญาณภายในสาย 3 ตัวนำสัญญาณแทนที่จะมีเพียง 2 เหมือน UNBALANCED INTERCONNECT และจะต้อง TERMINATED ด้วยขั้วต่อสัญญาณแบบ 3-PIN XLR CONNECTOR เท่านั้น BALANCED INTERCONNECT นั้นจะนำมาใช้สำหรับต่อระหว่างเครื่องที่มีขั้วต่อแบบ BALANCED INPUT และ OUTPUT รับกันเท่านั้น
DIGITAL INTERCONNECT
เป็นสายนำสัญญาณที่มีตัวนำสัญญาณเพียงหนึ่ง และจะนำสัญญาณ STEREO DIGITAL AUDIO เท่านั้น ซึ่งก็จะผนวกมาให้กับภาค CD TRANSPORT หรือเครื่องเสียงแบบ DIGITAL อื่นใด ที่จะต้องต่อเข้ากับ DIGITAL PROCESSOR
BI-WIRING
เป็นอีกวิธีสำหรับการเชื่อมต่อเพาเวอร์แอมปลิไฟเออร์ไปยังลำโพง ด้วยการใช้สายเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเส้น แทนที่จะใช้สายเพียงเส้นเดียวอย่างวิธีการปกติ
RCA PLUG AND JACK
บรรดาปลั๊ก และแจ๊คต่างๆ นั้นเป็นส่วนที่มีพบเห็นเป็นปกติสำหรับสัญญาณที่เป็นแบบ UNBALANCED ในเครื่องเสียงก็จะมี RCA แจ๊ค พร้อมสำหรับรับ RCA ที่เป็นขั้วต่อจากสายสัญญาณ UNBALANCED INTERCONNECT มาเสียบเข้าด้วยกัน
XLR PLUG AND JACK
ปลั๊กแบบ XLR นั้นเป็นขั้วต่อที่มี 3 PIN เพื่อที่จะมาต่อกับสายต่อระหว่างเครื่องแบบ BALANCED INTERCONNECT ตัว XLR แจ๊คนั้น จะมีแบบที่ผลิตขึ้นมาติดกับตัวเครื่องเล่นด้วย เพื่อรับตัวปลั๊กที่เป็นแบบ XLR ด้วยกัน
BINDING POST
เป็นการเสียบต่อบนเครื่องเพาเวอร์แอมปลิไฟเออร์ และตัวลำโพง ที่แสดงจุดเชื่อมต่อสำหรับสายลำโพง
FIVE-WAY BINDING POST
เป็นรูปแบบหนึ่งของ BINDING POST ที่จะสามารถรองรับทั้งสายเปลือยขั้วต่อแบบ SPADE LUG หรือ BANANA PLUG ตัว FIVE-WAY POST นั้นจะพบอยู่ในเครื่องเล่นประเภท เพาเวอร์แอมปลิไฟเออร์ และลำโพง
SPADE LUG
เป็นขั้วต่อลำโพงสำหรับลำโพงที่มีลักษณะแบน ทำเป็นง่ามคล้ายกับส้อมที่สามารถเสียบเข้ากับขั้วต่อลำโพง และเพาเวอร์แอมปลิไฟเออร์ได้พอดี ขั้วแบบนี้เป็นขั้วต่อที่นิยมใช้กันมาที่สุดสำหรับการ TERMINATE สายลำโพง
BANANA PLUG AND JACK
BANANA PLUG นั้นบางทีเราสามารถพบมีการใช้กับสายลำโพงแทนการใช้ SPADE LUG ตัวBANANA PLUG นั้นจะเสียบเข้าในช่องที่ทำไว้โดยเฉพาะกับขั้วต่อแบบห้าทาง หรือที่แจ๊คแบบ BANANA เครื่องเสียงในแถบยุโรปจะใช้ BANANA JACK กับแอมปลิไฟเออร์ และลำโพง
AWG (AMERICAN WIRE GAUGE)
เป็นหน่วยวัดความหนาของตัวนำสัญญาณ สำหรับสายลำโพง ค่า AWG ที่มีตัวเลขต่ำๆ จะมีความหนาที่มากกว่า ยกตัวอย่างเช่น LAMP CORD มีค่า AWG เท่ากับ 18 ก็จะแปลได้ว่า มีค่าเท่ากับ 18 GAUGE
ที่มาจาก http://www.koratsound.com/home/index.php?topic=2504.5;wap2